ถ้าอยากให้ต้นไม้ที่คุณปลูกไว้เจริญเติบโตงอกงาม แข็งแรง โดยที่ตัวคุณก็ยังมีสุขภาพดีด้วยเช่นกันก็ลองมาเป็นกุ๊กฝีมือดี ปรุงอาหารชั้นเยี่ยมให้พืชกินดูซิ
ไม่ต้องงง พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือคุณสามารถนำเศษอินทรีย์วัตถุ ใบไม้ ใบหญ้า เศษอาหาร ซากพืช ซากสัตว์ มูลสัตว์ที่มีอยู่มาหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์แล้วนำไปใช้กับพืชได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินไปซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้ และถ้าใช้ไปนานๆติดต่อกันดินก็เสื่อมลงด้วย ปุ๋ยอินทรีย์มีหลายชนิด ได้แก่
1.1 ปุ๋ยคอก
ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ได้จากมูลสัตว์ รวมถึงวัสดุรองพื้นคอกและน้ำล้างคอกสัตว์ด้วย เป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารพืชครบถ้วน ทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม แต่เมื่อเทียบกับน้ำหนักแล้ว จะมีปริมาณสารอาหารไม่มากนัก มูลสัตว์แต่ละชนิดจะมีปริมาณธาตุอาหารพืชต่างกัน ขึ้นอยู่กับอายุของสัตว์และชนิดของอาหารที่สัตว์กิน ปุ๋ยคอกที่ได้จากมูลของสัตว์ที่กินอาหารที่มีโปรตีนสูงเป็นหลัก จะมีปริมาณธาตุอาหารพืชสูงกว่าสัตว์ที่กินพืชหรือหญ้าเป็นอาหารหลัก ปุ๋ยคอกโดยทั่วไปจะมีไนโตรเจน ประมาณ 0.5 % N ฟอสฟอรัส 0.25 % P2O5 และโพแทสเซียม 0.5 % K2O เช่น มูลเป็ด มูลไก่ จะมีปริมาณธาตุอาหารสูงกว่ามูลหมู มูลหมูจะมีปริมาณธาตุอาหารสูงกว่ามูลวัวและควาย มูลวัวนมจะมีปริมาณธาตุอาหารพืชสูงกว่ามูลวัวเนื้อ มูลค้างคาวและกัวโนค้างคาว เป็นปุ๋ยคอกที่มีปริมาณธาตุอาหารพืชสูงที่สุด (กัวโนค้างคาว คือ มูลค้างคาวที่มีหินก้นถ้ำและซากค้างคาวย่อยสลายทับถมกันมาเป็นเวลานาน หรือบางทีเรียกว่าอินทรีย์ฟอสเฟต) มูลสัตว์อายุมากๆจะมีธาตุอาหารสูงกว่าสัตว์ที่อายุน้อย(เพราะประสิทธิภาพการย่อยและดูดซึมสารอาหารลดลง) มูลสัตว์ใหม่จะมีธาตุอาหารสูงกว่ามูลสัตว์เก่า ปุ๋ยคอกใหม่มีปริมาณธาตุอาหารพืชสูงกว่าปุ๋ยคอกเก่า ปุ๋ยคอกที่เก็บภายใต้หลังคาที่กันแดดและฝนได้จะมีปริมาณธาตุอาหารพืชสูงกว่าปุ๋ยคอกที่กองไว้กลางแจ้ง แต่ปุ๋ยคอกที่จะนำมาใส่ให้พืชควรผ่านกระบวนการหมักให้ย่อยสลายดีจนหมดความร้อนเสียก่อนโดยนำมูลสัตว์ไปผึ่งในที่ร่มให้แห้ง (มูลสัตว์ใหม่จะมีความชื้นอยู่ประมาณ 80 %) ในขั้นตอนนี้อาจใช้น้ำผสมกับ EM และกากน้ำตาล ราดไปบนกองปุ๋ยเพื่อช่วยเร่งให้มีการย่อยสลายตัวเร็วขึ้น แล้วโกยรวมเป็นกองหมักไว้ประมาณ 15 – 20 วัน ก็นำไปใช้ได้(ถ้าได้กลับกองปุ๋ยทุกๆ 3 วัน หรือ นำท่อ PVC ที่เจาะรูโดยรอบ สอดปลายข้างหนึ่งไว้ในกองปุ๋ย เพื่อระบายความร้อนและก๊าซ ก็จะดีขึ้น)
ปุ๋ยคอกจะสูญเสียธาตุอาหารพืชต่างๆไปได้ง่าย ธาตุอาหารพืชบางส่วนจะสูญหายไปจากการถูกน้ำฝนชะล้าง หรือจากการระเหิดกลายเป็นก๊าซ ทั้งระหว่างการหมัก การเก็บรักษา และขณะที่นำปุ๋ยไปใส่ลงดิน ธาตุไนโตรเจนในปุ๋ยคอก
อยู่ในรูปของแอมโมเนีย ซึ่งประมาณ 50 % ของทั้งหมดจะระเหยไปในอากาศ และเมื่อใส่ปุ๋ยคอกลงในดินแล้ว จะมีการสูญเสียธาตุไนโตรเจนต่อไปอีกประมาณ 20 % แต่ถ้าได้ผสมคลุกเคล้าปุ๋ยคอกลงในดินปลูกหรือไถกลบปุ๋ยลงในดิน การสูญเสียธาตุไนโตรเจนจะน้อยลง ส่วนธาตุฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมในปุ๋ยคอก ส่วนใหญ่จะสูญเสียจากการชะล้างของน้ำ ธาตุฟอสฟอรัสจะละลายน้ำและมักจะตกตะกอนลึกลงไปเกินจากระดับรากพืชอยู่ในรูปแอมโมเนียมฟอสเฟตของแมกนีเซียม แต่ถ้าเรานำตะกอนนี้ไปใส่ลงในดินอีกก็จะปลดปล่อยธาตุฟอสฟอรัสออกมาได้ให้เป็นประโยชน์กับพืชได้อีก ส่วนโพแทสเซียมมักอยู่ในรูปของคลอไรด์ ซึ่งจะละลายน้ำได้ดีเช่นกัน แต่ก็ละลายน้อยกว่าธาตุไนโตรเจน ฉะนั้นการเก็บรักษาและการใช้ปุ๋ยคอกที่ถูกวิธี คือ การกองปุ๋ยรวมกันไว้ภายใต้หลังคาที่กันแดดกันฝนได้ โดยกองเป็นรูปฝาชีแล้วอัดกองให้แน่น เมื่อนำไปใช้จะต้องคลุกเคล้าปุ๋ยให้เข้ากับดิน หรือไถกลบลงในดิน
1.2 ปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นโดยเลียนแบบการเกิดปุ๋ยในธรรมชาติ ด้วยการหมักซากพืชซากสัตว์ มูลสัตว์ รวมถึงขยะประเภทอินทรียวัตถุที่เหลือทิ้งจากครัวเรือน สถานประกอบการณ์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เศษอาหาร แกลบ ขี้เลื่อย กากอ้อย กากมันสำปะหลัง ฯลฯ ให้สลายตัว โดยมีการใช้จุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้เร็วขึ้น เราสามารถทำปุ๋ยหมักชีวภาพไว้ใช้เองได้ง่ายๆ โดยการกองสุมเศษพืชต่างๆทั้งชนิดสดและแห้งทิ้งไว้ให้ย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติ หรือถ้าต้องการเร่งให้นำปุ๋ยมาใช้ได้เร็วขึ้นอาจย่ำกองปุ๋ยให้แน่นเป็นชั้นๆ สูงชั้นละประมาณประมาณ 30 -50 เซนติเมตร โรยทับด้วยมูลสัตว์ หนา 5 เซนติเมตร สามารถกองทับกันได้หลายชั้น แล้วใช้น้ำ 20 ลิตร ผสมน้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ รดบนกองเศษพืชให้ชุ่ม ชั้นบนสุดปิดทับด้วยดินร่วน ทิ้งไว้ 3 เดือนก็จะได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพดีไว้ใช้ ในปุ๋ยหมักจะมีไนโตรเจน ปริมาณ 0.4-2 % N ฟอสฟอรัส 0.08 -1 % P2O5 และโพแทสเซียม 0.6 -1.3 % K2O
1.3 ปุ๋ยพืชสด
ปุ๋ยพืชสด คือ ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ได้จากการไถกลบส่วนต่างๆของพืชขณะที่ยังสดอยู่ลงไปในดิน ซากพืชที่ถูกไถกลบลงไปในดินจะย่อยสลาย เป็นการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุและธาตุอาหารพืชให้แก่ดิน พืชที่นิยมนำมาใช้ทำปุ๋ยพืชสด เช่น
1.3.1 พืชตระกูลถั่ว
เนื่องจากบริเวณรากของพืชตระกูลถั่ว จะเป็นที่อาศัยของแบคทีเรียกลุ่มไรโซเบียม (Rhizobium) ที่สามารถจับตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาเก็บสะสมไว้ได้ เมื่อไถกลบต้นถั่วลงในดินก็จะย่อยสลายแล้วปลดปล่อยธาตุอาหารพืชออกมา ซึ่งโดยทั่วไปปุ๋ยพืชสดจากพืชตระกูลถั่วจะมีปริมาณไนโตรเจน ประมาณ 2.5 - 3 % ถ้าปลูกพืชตระกูลถั่วได้น้ำหนักปุ๋ยพืชสด 1/2 ตัน ต่อพื้นที่ 1ไร่ เมื่อไถกลบลงในดิน จะเป็นการเพิ่มธาตุไนโตรเจนให้แก่ดินได้ 12-15 กิโลกรัม ซึ่งเพียงพอสำหรับการปลูกข้าวโพดโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเพิ่มอีก) นอกจากนี้แล้วอาจปลูกพืชตระกูลถั่วให้เป็นพืชคลุมดินไว้ตามสวนไม้ยืนต้น เช่น สวนผลไม้ สวนยางพารา สวนปาล์ม สวนมะพร้าว ได้อีกด้วย เมื่อใบถั่วร่วงหล่นลงดินก็จะกลายเป็นปุ๋ย พืชตระกูลถั่วที่เหมาะสมจะนำมาทำปุ๋ยพืชสดควรมีคุณสมบัติ โตเร็ว อายุสั้น มีใบและกิ่งก้านหนาแน่นแผ่คลุมดินไปได้ไกล วัชพืชขึ้นแข่งไม่ได้และมีระบบรากที่แข็งแรงไชชอนลึกลงไปในดินได้ดี เช่น โสน ปอเทือง ถั่วลาย ถั่วเขียว ถั่วพุ่ม ส่วนการไถกลบต้นถั่วเพื่อทำปุ๋ยพืชสดนั้น ควรทำหลังจากที่ปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วปล่อยให้เจริญเติบโตจนต้นถั่วมีอายุประมาณ 7-8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่ถั่วเจริญเติบโตมากที่สุด (หรือเป็นช่วงที่ต้นถั่วเริ่มออกดอก)ก็ไกกลบต้นถั่วนั้นลงในดิน แล้วปลูกพืชหลักหลังจากไถกลบแล้วประมาณ 7 -10 วัน
1.3.2 แหนแดง
แหนแดงเป็นเฟิร์นน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่ตามห้วย หนอง คลอง บึง ในช่องว่างที่อยู่ใต้ใบของแหนแดงจะเป็นที่อยู่ของสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว ซึ่งมีความสามารถในการตรึงไนโตรเจนได้ เราอาจเพาะเลี้ยงแหนแดงไว้ในแปลงเมื่อแหนแดงขยายพันธุ์มากขึ้นก็ใช้วิธีตักไปใส่ในดินแล้วไถกลบลงดิน หรือนำไปใส่ไว้ในนาข้าว ซึ่งตามปกติแหนแดงจะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในน้ำที่มีค่า pH ประมาณ 5.7 – 7.8 อุณหภูมิ 19 - 27 องศาเซลเซียส แต่กรณีที่เลี้ยงแหนแดงในนาข้าวโดยตรง ควรเลี้ยงไว้ล่วงหน้าก่อนการคราดดินขณะที่ดินมีน้ำแฉะ และเมื่อคราดกลบแล้วจะมีแหนแดงบางส่วนเจริญเติบโตต่อไปได้ ก่อนการหว่านข้าวหรือปักดำก็จะคราดกลบอีกครั้งหนึ่ง แหนแดงจะเริ่มสลายตัวหลังจากที่คราดกลบลงในดินแล้วประมาณ 7-8 วัน หลังจากนั้นอีกประมาณ 20 วัน ก็จะปลดปล่อยธาตุไนโตรเจนออกมา
1.4 ดินหมัก (ในภาษาญี่ปุ่นเรียกดินหมักว่า ไบโยโดะ)
ดินหมัก เป็นดินชนิดหนึ่งที่ทำโดยการใส่อินทรีย์วัตถุลงในดินเพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารพืชให้กับดิน เป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลเร็วและวิธีการทำไม่ยุ่งยาก คือ ใช้ดินร่วนหรือดินเหนียว และอินทรีย์วัตถุ จำพวกมูลไก่ไข่ ก้างปลาป่น รำละเอียด หรือกากถั่วเหลือง กากเมล็ดฝ้าย ฯลฯ ผสมกับหัวเชื้อจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์ แล้วหมักไว้ 1 เดือน ดินที่ทำเป็นดินหมักแล้วจะมีศักยภาพสูงขึ้นคล้ายกับการนำปุ๋ยน้ำชีวภาพใส่ลงในดินที่มีอินทรีย์วัตถุ ซึ่งจะส่งผลให้ผลผลิตของพืชมีคุณภาพดีขึ้น เหมาะสำหรับการปรับปรุงสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ หรือใช้ผสมดินสำหรับการปลูกพืชในภาชนะ และเพื่อให้การปรับปรุงดินมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นควรจะใช้ดินหมักร่วมกับปุ๋ยหมัก
เห็นหรือไม่ว่า ด้วยวิธีง่ายๆที่กล่าวมาแล้วต้นไม้ของคุณก็จะมีอาหารจานโปรด คุณภาพเยี่ยม ราคาถูกแล้ว